เพราะโลกไม่ใช่ของเรา
หลายคนเกิดมาใช้ชีวิตอยู่อย่างตามใจตัวเองเสมอมาโดยที่ไม่รู้ว่าที่จริงแล้วโลกนั้นไม่ใช่ของเรา ที่ว่าโลกไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรื่องของพระเจ้า หรือเรื่องของศาสนา แต่เป็นเรื่องของสิ่งที่เรียกกันว่า "สังคม"
ผู้เข้าชมรวม
234
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าโลกที่รอผมอยู่ข้างหน้ามันเป็นอย่างไร
ผมเป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่เติบโตไปตามกาลเวลา เรียนรู้สิ่งต่างๆ ในกรอบที่ถูกสร้างขึ้นโดยพ่อแม่ ญาติพี่น้อง ครูอาจารย์ และเพื่อนๆ
กรอบหลักๆ ที่มีผลกระทบต่อชีวิตของผมมากที่สุดคือกรอบของพ่อแม่
ผมไม่เคยเที่ยวกลางคืน ไม่เคยกลับบ้านหลังสองทุ่ม ไม่เคยกินเหล้าสูบบุหรี่ ซึ่งผมก็ยอมรับว่าเป็นผลดีที่เกิดจากกรอบที่พ่อแม่วางไว้
แต่กรอบของพวกท่านมันมีผลต่อชีวิตผมไม่ใช่แค่นั้น
ผมไม่ค่อยได้ออกไปเที่ยวที่ไหน ยิ่งเป็นต่างจังหวัดแล้วไม่ต้องพูดถึง ไม่รู้จักสถานที่ที่น่าท่องเที่ยว ไม่มีโอกาสได้ไปสังสรรค์กับเพื่อนๆ ไม่มีโอกาสได้ร่วมกิจกรรมชมรมต่างๆ
และวันหนึ่งผมก็ตัดสินใจที่จะก้าวออกจากกรอบนั้น
"ผมทนไม่ได้! อยู่ที่นี่แล้วต้องกลับบ้านเร็วตลอดเวลา ชมรมอะไรก็ไปร่วมกิจกรรมไม่ได้ จะไปเที่ยวไหนก็ไม่ได้ไป หลายครั้งแล้วที่พูดแบบนี้แล้วพ่อกับแม่ก็มาบอกว่าจะลางานพาไปเที่ยวนู่นเที่ยวนี่แต่ก็ไม่เห็นได้ไปซะที ทำแต่งาน ตั้งแต่ผมยังเด็กแล้ว ผมเบื่อ! ถึงวันนี้ผมไม่ต้องการอีกแล้ว ไม่ต้องลางานมาเลย ผมไม่อยากจะไปไหนกับพ่อกับแม่อีกแล้ว ผมจะไปจากที่นี่!"
นั้นเป็นคำพูดที่ทิ้งท้ายไว้ให้กับพ่อและแม่ ณ วันนั้น ด้วยอารมณ์โกรธ โดยไม่ได้คิดถึงสิ่งใดทั้งสิ้นนอกจาก'อิสรภาพ'ของผมเอง
ผมคว้ากระเป๋าที่เก็บเตรียมไว้แล้ว และเงินเก็บทั้งหมดออกจากบ้านไปโดยไม่ได้หันกลับมาดูหน้าพ่อแม่แม้แต่ครั้งเดียว
ก้าวแรกที่ออกจากบ้านนั้นมาได้ หัวใจรู้สึกพองโต สัมผัสถึงอิสรภาพที่ใฝ่หา สองเท้าก้าวออกไปข้างหน้าโดยไม่ต้องหยุดคิด เพราะผมได้เตรียมการไว้แล้ว
ผมวางแผนที่จะไปเช่าห้องอยู่กับเพื่อนคนหนึ่ง ใกล้ๆ มหาวิทยาลัย เสียเงินเดือนละพันห้าร้อยบาท และหางานที่พิเศษไว้แล้ว โดยผ่านทางอาจารย์คนหนึ่งที่ผมรู้จัก
ทุกสิ่งทุกอย่างถูกเตรียมไว้อย่างเพรียบพร้อมในความคิดของผม แต่ผมลืมนึกถึงสิ่งหนึ่งที่เรียกว่า'จิตใจ'ของผู้คน
ความจริงแล้วจิตใจของคนอื่นนั้นคงไม่มีใครที่จะสามารถไปตระเตรียมไว้ให้เหมาะกับตัวเองได้ ทุกคนจึงลงเอยด้วยการทำใจของตัวเองไป
แต่แม้ว่าจะทำใจยังไง ก็ยังอดคิดวุ่นวาย หงุดหงิดกับการกระทำของคนอื่นๆ ไม่ได้
เริ่มจากเพื่อนที่เช่าห้องอยู่ด้วยกัน
ตามปกติที่อยู่ด้วยกันที่โรงเรียน เขาเป็นคนที่วาจาไพเราะเหนือคำบรรยาย ทั้งเพื่อนทั้งอาจารย์ยอมตามใจเขาได้ทุกเรื่องเมื่อเจอคำออดอ้อนของเขา
ต่อหน้าผู้คนมากมายเขาไม่เคยที่จะเอาเรื่องคนที่มาแกล้ง กวนใจ หรือเอาของไปโดยไม่คืน
เขาให้เหตุผลว่า "เพราะเราแคร์ทุกคน เราไม่อยากทำร้ายจิตใจใคร"
แต่ในเวลาที่เหลือแค่เขากับผม เขาเป็นเด็นสปอยทึ่สุดเท่าที่เคยพบเคยเจอ ธาตุแท้ของเขาค่อยๆ เผยออกมาเมื่ออยู่ด้วยกัน
เวลาที่ต้องการอะไรเขาต้องได้เสมอ ผมซื้อของมาต้องแบ่งให้เขา แต่เขาซื้อของมาผมขอแล้วขออีกก็ไม่เคยได้แม้แต่เศษเสี้ยว
งานบ้านทุกชนิดเขาไม่เคยทำเอง ตั้งแต่ขัดห้องน้ำยันซักกางเกงใน ซึงแน่นอนเมื่อเราอยู่กันสองคนงานต่างๆ ก็ย่อมตกเป็นของผม
ทำไมผมถึงทำให้นะเหรอ คงเพราะพ่อกับแม่สอนมาอย่างนั้นละมั้ง ผมเห็นเขาทิ้งของไว้เลอะเทอะ รกรุงรังแล้วมันทนไม่ได้ และที่สำคัญ เขาเป็นญาติของเจ้าของที่เจ้าของตึกนี้
อยู่ๆ ไปทั้งเขาและผมก็เริ่มชินกับการที่ผมต้องทำงนบ้านทุกอย่างแบบนี้ถึงขั้นที่ว่า
"มัวแต่ทำอะไรอยู่ทำไมไม่เอาเสื้อผ้าของเราไปซักซะที วันนี้เราจะใส่เสื้อตัวนี้เลยไม่ได้ใส่กันพอดี" เขาโวยวายขึ้นมาในวันหนึ่ง
และยังไร้หัวใจอย่างเช่น
"เฮ้ย! พอล นายมาช่วยยกลังของนายออกไปหน่อยซิ" ผมเรียกเขามาย้ายลังออกไปเพื่อผมจะได้ทำความสะอาด
"กล่องนั้นจะยกไปวางไว้ไหนก็ได้แล้วแต่นาย แล้วอย่าลืมเอากลับมาคืนที่ด้วยล่ะ" ช่างเป็นคำพูดที่ดูดีแต่น้ำใจนั้นเหือดแห้งไปไหนหมดก็ไม่รู้
ที่จริงแล้วหมอนึ่ไม่เคยแคร์ใครเลยนอกจากตัวเอง สิ่งที่เขาทำทั้งหมดเพียงเพื่อให้ตัวเองดูดีเท่านั้น
ส่วนกิจกรรมชมรมที่ผมอยากไปนักหนา
ผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันผิดพลาดตรงไหน ตอนที่ผมเข้าได้แปบเดียว มีกิจกรรมเฮฮาปาร์ตี้อยู่เสมอ แต่พอผมเข้าได้เต็มตัวแล้วกลับไม่มีอะไรน่าสนใจเลย
คนก็เข้ากันน้อย อาจารย์ที่ปรึกษาก็ไม่มา กิจกรรมอะไรก็ไม่ค่อยจัด
สมาชิกเก่าๆ ก็น้อยลงจนจะหมดไปแล้ว เหลือผมที่อยู่มานานที่สุด แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรให้มันดีขึ้นได้
เพื่อชมรมแล้วผมก็ลองปรึกษาคนอื่นๆ ดูว่าจะทำยังไง
ถามอาจารย์ก็ตอบว่า
"เธอก็ต้องจัดกิจกรรมขึ้นมาซิ มันง่ายจะตาย ถ้าให้อาจารย์ทำนะ แปบเดียวก็เสร็จ"
ถามรุ่นพี่ก็ตอบว่า
"พี่จะจบแล้ว หมดหน้าที่พี่แล้ว"
ถามสมาชิกที่เข้ามาใหม่ก็ตอบว่า
"ที่เป็นอยู่ก็ดีอยู่แล้ว ไว้มีสมาชิกเยอะๆ ก่อนถึงจะทำอะไรได้"
ก็ลองถามตัวเองดูว่า
"แล้วผมจะมาชมรมแบบนี้เพื่อะไรกันล่ะ?"
และงานพิเศษที่ผมทำ
เนื่องจากว่าอาศัยอาจารย์แนะนำไปอีกที ทำให้เหมือนเป็นแค่เด็กฝึกงาน
เงินที่ได้เหมือนเป็นค่าขนมซะมากกว่าค่าจ้าง ทั้งที่ใช้งานผมมากมาย จัดเวลาให้ผมทำงานเย็นวันจันทร์ พุธ ศุกร์ ตั้งแต่ 5 โมงถึงเที่ยงคืน วันเสาร์ทั้งวัน ตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน และวันอาทิตย์ 9 โมงเช้าถึงบ่าย 2
รวมแล้ว 41 ชั่วโมง บางสัปดาห์วันอาทิตย์ยังช่วยทำต่อถึง 5 โมงเย็นเลย ควรจะได้ค่าล่วงเวลาด้วยซ้ำไป แต่ได้มาแค่พอจะจ่ายค่าที่พัก กับค่าอาหารมื้อละ 30 บาท 3 มื้อเท่านั้น
เรื่องเงินที่พอค่าที่พักกับอาหารยังโอเคอยู่แต่ที่รู้สึกว่ารับไม่ได้คือนิสัยของเจ้านาย
เขาเป็นคนที่ใจดีมากอย่างที่อาจารย์แนะนำมา แต่ตอนที่เขาบอกด้วยความใจดีว่า
"เดี๋ยวไปกินไก่ทอดได้นะ แบ่งไว้ให้แล้ว ของเราน่ะอยู่ในจานสีเขียวนะ"
แต่พอเสร็จงานแล้วไปดู กลับไม่มีจานดังว่า กำลังจะไปถามเจ้านาย ก็ได้คำตอบอยู่ในมือของเขาอยู่แล้ว
จานสีเขียวที่ว่าอยู่ในมือเขา บนจานก็เหลือแต่กระดูกเรียบร้อย
เราก็อุตส่าห์ยกเลิกนัดกินข้าวกับเพื่อนตอนเย็นทำงานให้เกินเวลาแล้วพอจะมากิน กลับเหลือแค่จานที่ว่างเปล่าในมือของเขา
ก็ต้องเข้าใจอยู่ว่าไม่มีสิทธิจะพูดอะไรทั้งสิ้นเพราะมันก็เป็นของของเขานินะ
ส่วนหนึ่งในชีวิตที่รอผมอยู่มันไม่ได้เป็นอย่างที่ฝันไว้เลย เพื่ออิสรภาพ ทำให้เราเดินมาไกลถึงเพียงนี้
ไม่ได้เสียใจกับการตัดสินใจครั้งนั้น แต่ได้เรียนรู้บทเรียนแห่งชีวิต คำตอบของทางเดินที่ผมเลือกเดินว่า
"เพราะโลกไม่ใช่ของเรา" เพราะโลกนี้ไม่ใช่ของผม
โลกของที่ห้องเช่า โลกที่ชมรม โลกที่ร้าน ล้วนไม่ใช่โลกของผม
สุดท้าย ผมก็กลับมาคิดทบทวนถึงโลกที่เป็นของผม โลกที่ผมจะพอเอาแต่ใจตัวเองได้บ้าง โลกที่มีคนคอยดูแล เอาใจใส่เรา โลกที่มีหัวใจให้กันอย่างอบอุ่น
ซึ่งผมก็น่าจะรู้ดีว่าจะหาโลกนั้นได้ที่ไหน แต่คิดอีกที ที่นั้นก็ไม่ใช่โลกของผมอยู่ดี
ผลงานอื่นๆ ของ Little Lighted Candle ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Little Lighted Candle
ความคิดเห็น